มหาวิทยาลัยอินเตอร์ในไทยดียังไง พร้อมแนะนำหลักสูตรนานาชาติคืออะไร
การศึกษาในระดับอุดมศึกษามีหลากหลายทางเลือก และหนึ่งในนั้นคือการเรียนในมหาวิทยาลัยอินเตอร์ในประเทศไทย ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในบทความนี้ Stamford International University จะพาน้อง ๆ มาแนะนำว่า มหาวิทยาลัยอินเตอร์ในไทยดียังไง? มีหลักสูตรอะไรให้เลือกบ้าง? แล้วต้องใช้คะแนนอะไรในการสอบเข้า? พร้อมพาไปทำความรู้จัก Stamford International University ให้มากขึ้น ใครกำลังมองหามหาลัยอินเตอร์ในไทยเพื่อเรียนต่อต้องห้ามพลาด
ทำความรู้จัก มหาวิทยาลัยอินเตอร์ Stamford International University
Stamford International University เป็นมหาวิทยาลัยอินเตอร์ที่ได้มาตรฐานคุณภาพ และได้รับการยอมรับในระดับสากล อีกทั้งยังเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองจาก International Accreditation Council for Business Education (IACBE) จากประเทศสหรัฐอเมริกา ด้านความเป็นเลิศทางการศึกษาด้านธุรกิจ
การเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ดจะช่วยให้น้อง ๆ เรียนจบเร็วกว่า ด้วยหลักสูตร Fast track 3.5 ปี โดยน้อง ๆ จะได้เรียนรู้จากคณาจารย์ผู้สอนที่มากด้วยประสบการณ์ในหลายสาขาอาชีพจากนานาชาติ ทำให้น้อง ๆ ได้นับมุมมองที่หลากหลายและทันสมัย รวมถึงได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังมีโครงการฝึกงาน 480 ชั่วโมงกับบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งยังได้โอกาสในการเรียนแลกเปลี่ยนกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศ
แนะนำหลักสูตรน่าเรียนที่ Stamford International University
ที่แสตมฟอร์ดมีหลักสูตรน่าเรียนให้เลือกถึง 4 หลักสูตร โดยแต่ละหลักสูตรก็มีสาขาให้เลือกมากมาย ดังนี้
หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (Business Administration)
- สาขาการเงินและการธนาคาร (Finance and Banking)
- สาขาการตลาด (Marketing)
- สาขาการเป็นเจ้าของธุรกิจ (Entrepreneurship)
- สาขาการการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business Management)
- สาขาการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relations)
- สาขาการจัดการธุรกิจการบิน (Airline Business Management)
- สาขาการจัดการธุรกิจโรงแรมนานาชาติ (International Hotel Management)
- สาขาการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน (Logistics and Supply Chain Management)
หลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต (Communication Arts) ตัวคณะหลัก
- สาขาการผลิตสื่อสร้างสรรค์และบันเทิง (Creative Media Production and Entertainment)
- สาขาการสื่อสารการตลาดดิจิทัลและโฆษณา (Advertising and Digital Marketing Communication)
หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต (Arts)
- สาขาออกแบบสื่อสร้างสรรค์ (Creative Media Design)
- สาขาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารนานาชาติ (English for Applied Global Communication)
หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต (Sciences)
- สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology)
เรียนมหาวิทยาลัยอินเตอร์ในไทยดียังไง?
การเรียนในมหาวิทยาลัยอินเตอร์ในประเทศไทยมีข้อดีหลายประการที่น่าสนใจ ประการแรก คือโอกาสในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษอย่างเข้มข้น เนื่องจากการเรียนการสอนทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้นักศึกษาได้ฝึกฝนการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันและในบริบททางวิชาการ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างมากในการทำงานในยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยอินเตอร์ยังมีบรรยากาศการเรียนที่เป็นนานาชาติ นักศึกษาจะได้เรียนรู้และทำงานร่วมกับเพื่อนและอาจารย์จากหลากหลายประเทศ ซึ่งช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสารข้ามวัฒนธรรมและเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น
ข้อดีอีกประการหนึ่งคือ หลักสูตรของมหาวิทยาลัยอินเตอร์มักได้รับการรับรองมาตรฐานระดับนานาชาติ และมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศ ทำให้นักศึกษามีโอกาสไปแลกเปลี่ยนหรือศึกษาต่อในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญ การเรียนในมหาวิทยาลัยอินเตอร์ในไทยยังประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการไปเรียนต่างประเทศโดยตรง ทั้งค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพ แต่ยังได้รับประสบการณ์การเรียนแบบนานาชาติเช่นเดียวกัน
มหาวิทยาลัยเอกชนดียังไง? ทำไมถึงเป็นตัวเลือกที่หลายคนสนใจ?
มหาวิทยาลัยเอกชนกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในหมู่นักเรียนที่กำลังมองหาทางเลือกในการศึกษาระดับอุดมศึกษา ด้วยข้อดีหลายประการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนในยุคปัจจุบัน
สามารถใช้วุฒิที่หลากหลายในการยื่นสมัครได้
มหาวิทยาลัยเอกชนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนทุกระดับการศึกษา ไม่ว่าจะวุฒิ ม.6, GED หรือ IGCSE สามารถสมัครเรียนได้ในเกือบทุกคณะ ทำให้ผู้เรียนมีทางเลือกมากขึ้นในการศึกษาต่อ โดยไม่ถูกจำกัดด้วยพื้นฐานการศึกษาเดิม
หลักสูตรยืดหยุ่น เร็วและทันสมัย ทำให้มีความสามารถตามยุคสมัยและเน้นใช้งานได้จริง
มหาวิทยาลัยเอกชนมักมีความคล่องตัวในการปรับปรุงหลักสูตรให้ทันสมัยและตอบโจทย์ตลาดแรงงาน หลักสูตรมีความยืดหยุ่น เน้นการเรียนรู้ที่ใช้งานได้จริง และมักจะปรับตัวได้เร็วกว่าเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยของรัฐ
อุปกรณ์การเรียนและเครื่องมือทันสมัย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
มหาวิทยาลัยเอกชนมักลงทุนในอุปกรณ์การเรียนและเครื่องมือที่ทันสมัย รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อดึงดูดนักศึกษาและสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ดี ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนและการฝึกปฏิบัติ
มีอาจารย์พิเศษและตัวจริงจากแต่ละวงการที่มีประสบการณ์ตรง มาสอนให้แบบใกล้ชิด
มหาวิทยาลัยเอกชนมักเชิญผู้เชี่ยวชาญและผู้มีประสบการณ์ตรงจากวงการต่าง ๆ มาเป็นอาจารย์พิเศษ ทำให้นักศึกษาได้เรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์จริงและได้รับมุมมองที่หลากหลายจากวงการนั้น ๆ
Connection มากมาย ที่จะ Support ทั้งการฝึกงานและการทำงานในอนาคต
มหาวิทยาลัยเอกชนมักมีเครือข่ายความร่วมมือกับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับนักศึกษาในการหาที่ฝึกงานและโอกาสในการทำงานในอนาคต Connection เหล่านี้ช่วยเปิดประตูสู่โลกการทำงานจริงได้ง่ายขึ้น เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด ที่มีอาจารย์และนักศึกษาจากหลากหลายประเทศ ทำให้ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนมุมมอง ความคิด และประสบการณ์ต่าง ๆ ได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้เรายังมี Connection กับบริษัทชั้นนำหลายแห่ง ทำให้นักศึกษาได้ฝึกงานและเรียนรู้จากบริษัทชั้นนำ
ไม่ต้องเตรียมตัวมากมาย สบายใจกว่า
มหาวิทยาลัยเอกชนส่วนใหญ่มีกระบวนการรับสมัครที่ง่ายและรวดเร็วกว่า โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการสอบข้อเขียนหรือสัมภาษณ์ที่เข้มงวด และไม่ใช้ระบบ TCAS ซึ่งอาจสร้างความกดดันให้กับผู้สมัคร ทำให้นักเรียนสามารถเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษาได้ง่ายขึ้น และลดความเครียดในกระบวนการสมัครเรียน
ข้อกำหนดหรือระเบียบบังคับน้อย ทำให้มีอิสระมากกว่า
มหาวิทยาลัยเอกชนมักมีความยืดหยุ่นในเรื่องระเบียบและข้อบังคับต่าง ๆ มากกว่ามหาวิทยาลัยของรัฐ ทำให้นักศึกษามีอิสระในการใช้ชีวิตและการเรียนมากขึ้น เช่น การแต่งกาย การเข้าร่วมกิจกรรม หรือการเลือกวิชาเรียน ซึ่งช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการพัฒนาตนเองของนักศึกษา
ใช้ชีวิตที่แตกต่างได้อย่างลงตัว ไม่มีใครรู้สึกแปลกแยก
มหาวิทยาลัยเอกชนมักดึงดูดนักศึกษาที่มีความหลากหลายทางความคิดและไลฟ์สไตล์ ทำให้เกิดชุมชนที่เปิดกว้างและยอมรับความแตกต่าง นักศึกษาสามารถแสดงออกถึงตัวตนและสไตล์ของตนเองได้อย่างอิสระ โดยไม่รู้สึกแปลกแยกหรือถูกตีกรอบ ซึ่งช่วยส่งเสริมบรรยากาศการเรียนรู้ที่สร้างสรรค์และการพัฒนาทักษะทางสังคม
การสอบเข้ามหาวิทยาลัยอินเตอร์ในไทยนิยมใช้คะแนนอะไรบ้าง?
การสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอินเตอร์ในประเทศไทย มักต้องใช้ผลคะแนนสอบมาตรฐานสากลหลายประเภท ซึ่งแต่ละการสอบก็มีลักษณะเฉพาะและจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน มาดูกันว่ามีคะแนนสอบอะไรบ้างที่นิยมใช้ในการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยอินเตอร์
IELTS (International English Language Testing System)
IELTS เป็นการสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั่วโลก โดยจะวัดทักษะภาษาอังกฤษทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การฟัง (Listening), การอ่าน (Reading), การเขียน (Writing) และการพูด (Speaking) แต่ละส่วนมีคะแนนเต็ม 9.0 มหาวิทยาลัยอินเตอร์ในไทยมักต้องการคะแนน IELTS โดยรวมไม่ต่ำกว่า 6.0-6.5 ซึ่ง IELTS มีสองรูปแบบคือ Academic Module สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อ และ General Training Module สำหรับผู้ที่ต้องการทำงานหรือย้ายถิ่นฐาน
TOEFL (Test of English as a Foreign Language)
TOEFL เป็นอีกหนึ่งการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่ได้รับความนิยมไม่แพ้ IELTS โดยเฉพาะสำหรับหลักสูตรที่เน้นระบบอเมริกัน TOEFL แบ่งออกเป็น 4 ส่วนเช่นเดียวกับ IELTS คือ วัดทักษะด้านการฟัง (Listening), การอ่าน (Reading), การพูด (Speaking) และการเขียน (Writing)
ซึ่งการสอบ TOEFL จะมีสองรูปแบบหลักคือ TOEFL iBT (Internet-based Test) และ TOEFL ITP (Institutional Testing Program) โดยมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะยอมรับผลสอบ TOEFL iBT มากกว่า และมักต้องการคะแนนไม่ต่ำกว่า 79-80 จากคะแนนเต็ม 120
GSAT (General Scholastic Aptitude Test)
GSAT เป็นการสอบวัดความรู้และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการเรียนในระดับอุดมศึกษา ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ การสอบ GSAT ครอบคลุมเนื้อหาในวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ โดยข้อสอบจะเป็นรูปแบบปรนัย 4 ตัวเลือก และมีทั้งหมด 4 ส่วน ดังนี้
- ส่วนที่ 1 การอ่าน จำนวน 50 ข้อ เวลาในการสอบ 65 นาที
- ส่วนที่ 2 การเขียนและภาษา จำนวน 40 ข้อ เวลาในการสอบ 35 นาที
- ส่วนที่ 3 คณิตศาสตร์ไม่มีเครื่องคิดเลข จำนวน 20 ข้อ เวลาในการสอบ 25 นาที
- ส่วนที่ 4 คณิตศาสตร์พร้อมเครื่องคิดเลข จำนวน 40 ข้อ เวลาในการสอบ 55 นาที
GED (General Educational Development)
GED หรือ General Educational Development เป็นการทดสอบความรู้เทียบเท่าระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งเป็นที่ยอมรับในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย การสอบ GED ออกแบบมาสำหรับผู้ที่ไม่ได้จบการศึกษาระดับมัธยมปลายตามระบบปกติ แต่ต้องการวุฒิการศึกษาเทียบเท่าเพื่อศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาหรือเพื่อการทำงาน โดยการสอบ GED จะสอบเป็นภาษาอังกฤษสามารถแบ่งได้ทั้งหมด 4 วิชา และเน้นความรู้พื้นฐาน การเชื่อมโยง ตรรกะ รวมถึงการคิดวิเคราะห์ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. GED Reasoning Through Language Arts (RLA)
เป็นข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษที่ใช้เวลาสอบประมาณ 150 นาที เพื่อวัดทักษะด้านการอ่าน Grammar พื้นฐาน และการเขียนเรียงความ แบ่งออกเป็น 2 พาร์ท ได้แก่
- Part 1 – Reading and Basic Grammar
- Part 2 – เขียนเรียงความภาษาอังกฤษแบบ Argumentative
2. GED Social Studies
เป็นข้อสอบวิชาสังคมศึกษาและประวัติศาสตร์ ใช้เวลาในการสอบประมาณ 70 นาที โดยจะเน้นการวิเคราะห์ข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครอง และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องในด้านสังคม รวมถึงประวัติศาสตร์ สำหรับเนื้อหาที่ออกสอบสามารถแบ่งได้ 4 หัวข้อ ดังนี้
- ประวัติศาสตร์อเมริกา (U.S. History)
- การเมืองการปกครอง (Civic and Government)
- เศรษฐศาสตร์ (Economics)
- ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์โลก (Geography and the World)
3. GED Mathematical Reasoning
เป็นข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ ใช้เวลาในการสอบประมาณ 115 นาที เน้นการเลือกใช้สูตรและการคิดเลข รวมถึงการแก้ปัญหาทางพีชคณิต โดยเนื้อหาที่ออกสอบสามารถแบ่งได้ 4 หัวข้อ ดังนี้
- คณิตศาสตร์พื้นฐาน (Basic Math )
- เรขาคณิต (Geometry)
- พีชคณิตพื้นฐาน (Basic Algebra)
- กราฟและฟังก์ชัน (Graphs and function)
และสามารถแบ่งได้ทั้งหมด 2 พาร์ท ได้แก่
- Part 1 – ไม่สามารถใช้เครื่องคิดเลขได้ แบ่งข้อสอบเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การแก้ปัญหาเชิงปริมาณ และการแก้ปัญหาเกี่ยวกับพีชคณิต
- Part 2 – อนุญาตให้ใช้เครื่องคิดเลขได้
4. GED Science
เป็นข้อสอบวิชาวิทยาศาสตร์ ใช้เวลาในการสอบประมาณ 90 นาที โดยเนื้อหาที่ออกสอบจะเกี่ยวข้องกับ Life Science, Physical Science และ Earth and Space Science สามารถแบ่งได้ 3 หัวข้อหลัก ๆ ดังนี้
- การอ่านบทอ่านภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (Reading for meaning in Science)
- การออกแบบและทดลองทางวิทยาศาสตร์ (Designing and interpreting science experiments)
- การอ่านตัวเลขและกราฟที่เกี่ยวข้องกับวิชาวิทยาศาสตร์ (Using numbers and graphics in science)
SAT (Scholastic Aptitude Test)
SAT เป็นการสอบมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา และได้รับการยอมรับในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย จัดสอบโดยองค์กร College Board โดยจะเป็นการประเมินว่า นักศึกษามีทักษะการอ่าน การคิดวิเคราะห์ และการเขียนบรรยายที่ดี ที่ช่วยให้สามารถประสบความสำเร็จในการศึกษาได้หรือไม่
ในส่วนของการนำคะแนนสอบ SAT ไปใช้ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอินเตอร์ในไทย จะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละมหาวิทยาลัย/คณะ/สาขา บางคณะดูแค่คะแนน SAT MATH บางคณะดูเฉพาะ SAT Reading & Writing หรือ บางคณะใช้คะแนนสอบทั้งสองส่วนเป็นเกณฑ์ ซึ่งข้อสอบ SAT จะถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่
- Evidenced – Based Reading & Writing ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 40 นาที (มีคะแนนเต็ม 800 คะแนน) แบ่งย่อยออกเป็น 2 ชุด คือ Reading มี 52 ข้อ และ Writing and Language มี 44 ข้อ จาก 4 บทความ
- Math ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 20 นาที (มีคะแนนเต็ม 800 คะแนน) แบ่งย่อยออกเป็น 2 ชุด คือ Math Test – No Calculator (ไม่สามารถนำเครื่องคิดเลขเข้าไปใช้ได้) มีทั้งหมด 20 ข้อ และ Math Test – Calculator (สามารถใช้เครื่องคิดเลขได้) มีทั้งหมด 38 ข้อ
A-Level (Advanced Level General Certificate of Secondary Education)
A-Level เป็นการสอบมาตรฐานของสหราชอาณาจักรที่ใช้ในการสมัครเข้าเรียนต่อระดับอุดมศึกษา ซึ่งมหาวิทยาลัยอินเตอร์ในประเทศไทยที่ใช้หลักสูตรอังกฤษมักจะยอมรับผลสอบ A-Level ในการพิจารณารับนักศึกษา โดยอาจกำหนดเกรดขั้นต่ำในแต่ละวิชาที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่สมัคร
ซึ่งการสอบจะจัดสอบโดย Cambridge International Examinations (CIE) A-Level มีรายวิชาประมาณ 55 วิชา โดยนักเรียนมักจะเลือกสอบ 3-4 วิชาที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่ต้องการเรียนต่อ สามารถแบ่งได้ 5 กลุ่มวิชา ดังนี้
- กลุ่มภาษา (Language)
- กลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (Humanities & Social Science)
- กลุ่มวิทยาศาสตร์ (Science)
- กลุ่มคณิตศาสตร์ (Mathematics)
- กลุ่มทักษะวิชาชีพ (Creative, Technical and Vocational)
อยากสมัครเรียนที่แสตมฟอร์ดต้องเตรียมตัวยังไง?
สำหรับนักศึกษาที่สนใจสมัครเข้าเป็นนักศึกษาใหม่ในระดับปริญญาตรี สามารถสมัครได้ผ่าน 2 ช่องทาง ดังนี้
- สมัครออนไลน์ที่ https://www.stamford.edu/th/admissions/bachelors-degree/
- สมัครด้วยตัวเอง โดยขอรับใบสมัครได้ที่ฝ่ายรับสมัครมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด หรือนักศึกษาสามารถกรอกใบสมัคร online แล้วนำมายื่นประกอบได้
คุณสมบัติของผู้สมัคร
หลักสูตรนานาชาติ หลักสูตรสองภาษา และหลักสูตรภาษาไทย ในระดับปริญญาตรี
- สำเร็จการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือ เทียบเท่า จากสถาบันการศึกษาที่ผ่านการรับรองวิทยฐานะ และมีใบรายงานผลการศึกษาฉบับจริง
- ผู้ที่กำลังจะสำเร็จการศึกษาในปีการศึกษานี้ สามารถสมัครสอบได้ โดยขอหนังสือรับรองวุฒิล่วงหน้ามายื่น
หลักสูตรนานาชาติ และหลักสูตรสองภาษา ในระดับปริญญาตรี
- ผ่านการทดสอบวัดระดับความรู้ภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด หรือ มีผลคะแนนทดสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษ (TOEFL หรือ IELTS) ผ่านคะแนนขั้นต่ำตามที่กำหนด
- นักเรียนที่ไม่ผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษตามที่กำหนดจะต้องเรียนหลักสูตร Stamford English Program ก่อนเริ่มเรียนปริญญาตรีหลักสูตรนานาชาติ และหลักสูตรสองภาษา
หลักฐานประกอบการสมัคร
- ใบสมัครเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยและค่าธรรมเนียมการสมัคร
- สำเนาใบแสดงผลการเรียนและระบุวันจบการศึกษา (ปพ.1) ฉบับสมบูรณ์ จำนวน 1 ฉบับ
- สำเนาใบประกาศนียบัตรสำเร็จการศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ปพ.2) จำนวน 1 ฉบับ
- สำเนาบัตรประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- รูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว จำนวน 2 รูป
ช่วงเวลาที่เปิดรับสมัคร
มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด เปิดโอกาสให้นักศึกษาสามารถสมัครเรียนได้ตลอดเวลา และสามารถเลือกเทอมที่สะดวกเข้าเรียนได้อย่างยืดหยุ่น เมื่อสมัครเรียนเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถเตรียมตัวเพื่อรอปฐมนิเทศร่วมกัน และเริ่มเรียนได้ทันที โดยสามารถสมัครได้ในทุกภาคการศึกษา ดังนี้
- ภาคการศึกษาที่ 1 : เดือนกรกฎาคม
- ภาคการศึกษาที่ 2 : เดือนพฤศจิกายน
- ภาคการศึกษาที่ 3 : เดือนมีนาคม
สรุปบทความ
การเรียนในมหาวิทยาลัยอินเตอร์ในประเทศไทย เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์การศึกษาแบบนานาชาติ โดยไม่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยอินเตอร์ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ ทั้งในด้านค่าใช้จ่าย ความพร้อมด้านภาษา และเป้าหมายในอาชีพ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเอง
ซึ่ง Stamford International University ก็เป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจ ด้วยหลักสูตรที่ทันสมัย เน้นการปฏิบัติจริง และความร่วมมือกับภาคธุรกิจ ทำให้นักศึกษาได้รับการเตรียมความพร้อมอย่างดีสำหรับการทำงานในอนาคต นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรและสาขาให้เลือกเรียนตามความต้องการได้อย่างหลากหลาย สำหรับผู้ปกครองและนักศึกษาที่มีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ผ่านช่องทางเหล่านี้
- โทร: 02 769 4000
- Facebook: https://www.facebook.com/stamfordthailand/
- สมัครเรียน: https://www.stamford.edu/th/admissions/bachelors-degree/